วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความสุขที่เพียงพอ

ในทุกๆวันตอนทานข้าวเที่ยงที่รพ.ที่ผู้เขียนอยู่ ในหลายการพูดคุยจะมีเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่และเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ทำงานในโรงพยาบาล โดยจะมีผอ.เป็นคนสอบถามว่าใครที่บ้านทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่ก็จะมีอาชีพเกษตรกรรมมาเป็นอันดับ 1และที่คงไม่ต้องเดาคือรับจ้าง คือไม่ว่าพอถึงวันหยุดเขาจะจ้างอะไรก็ทำหมด ตัดต้นไม้เอย ตัดหญ้าเอย ในส่วนของคนระดับที่จะต้องปากกัดตีนถีบในรพ.ก็จะเป็นอย่างนี้แทบจะทุกคน หลายคนเริ่มที่จะมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นตามลำดับความขยันและอีกหลายคนต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า และอีกหลายคนเริ่มที่จะหาอาชีพเสริมในสิ่งที่ตัวเองถนัดอาจจะเพราะชอบค้าขายและมีเวลาว่างพอที่จะเพิ่มรายได้อีกให้ตัวเองอีกส่วนหนึ่งก็เป็นได้

วันนี้ก็เช่นกันการพูดคุยในวงสนทนาภาษาเที่ยง พุ่งเป้าไปที่การทำมาหากินของคนในรพ.เสียเป็นส่วนใหญ่ คุยกันถึงหลายๆคนจนมาหยุดอยู่ที่พี่คนหนึ่งในรพ. ผู้เขียนรู้จักกับพี่ขวัญใจไม่ถึงกับสนิทสนมมากนักรู้แต่ว่าแกมาทำงานผลิตเกี่ยวกับสมุนไพรพื้นบ้านจำพวกยาสระผม แชมพู น้ำยาล้างจาน ที่รพ.เพราะลูกของแกพิการมาตั้งแต่เด็ก ทางรพ.เลยหาอาชีพให้เพื่อที่จะได้มีเงินเลี้ยงครอบครัวและก็ส่งเสริมให้แกเรียนนวดแผนไทยเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่ของทางรพ.แค่นั้นที่ผู้เขียนได้รู้

วันนี้ประเด็นมุ่งเป้าไปที่ข้าวโพดต้มที่แกนำมาขายที่รพ.ทุกเช้า ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่ติดใจกับรสชาติของมันจริงๆซื้อทานเองยังไม่พอขอเขากินอีกอย่างไม่มียางอาย และไม่ใช่มีแต่ข้าวโพดที่แกขายยังมี ผักบุ้ง กระหล่ำปลีและน่าจะมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่พูดถึง ผอ.ยกประเด็นเกี่ยวกับชีวิตพี่ขวัญใจมานั่งทานข้าวไป เล่าไปเรื่อยๆ ส่วนตัวของผู้เขียนก็ฟังไปเรื่อยๆจนผอ.บอกว่าไปเก็บภาพมาไว้ก็ดีจะได้มีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับคนในรพ.ของเราที่มันหลากหลายดีสุดท้ายผู้เขียนเลยรับปากว่าจะไปที่บ้านพี่แกเย็นนี้เลยโดยมีข้าวโพดเป็นสิ่งยั่วน้ำลาย พุงกางแน่เย็นนี้



16.00น. หลังจากตระเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพยี่ห้อ NIKON D50 และ กล้องบันทึกวีดีโอเรียบร้อย(ของรพ.) ก็ออกตัวไปถึงบ้านพี่ขวัญใจก่อนเพราะจะได้เก็บภาพล่วงหน้าก่อนที่แกจะกลับ และถ่ายตอนแกมาถึง พี่ขวัญใจเดินทางมาถึงด้วยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่ง ด้วยรูปร่างที่ใหญ่จนทำให้รถที่แก่ขี่เล็กไปโดยปริยาย ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินนำผมเข้าบ้านแนะนำให้รู้จักญาติพี่น้องและลูกของแกทั้งสองคน น้องแยมลูกสาวคนเล็ก และลูกชายคนโตที่ตอนนี้เรียนจบแต่ยังไม่ได้งานทำ แกมาถึงก็จัดแจงเปลี่ยนจากชุดคุณหมอ(ชาวบ้านเขาจะเรียกคนที่ทำงานในรพ.ว่าหมอทุกคน) เป็นชุดที่ใช้ในชีวิตการทำเกษตรจากนั้นก็เตรียมถุงกระสอบ ที่ใช้ใส่ปุ๋ยสามสี่ใบเดินตรงปรี่เข้าไปในที่ที่อาจจะเรียกว่าไร่นาสวนผสมก็คงไม่ผิดเพราะเดินไปอ้าวนี่ข้าวโพดที่เราได้กินจากฝีมือแกนี่นาตรงไปอีกหน่อยอ้าวนี่แปลงกระหล่ำที่แกเอาไปขายนี่เอาและเดี๋ยวได้เจอผักบุ้ง และก็จริงๆผู้เขียนเจอแปลงผักบุ้งประมาณ 5-6 แปลงพร้อมด้วยสามีของพี่ขวัญใจที่กำลังนั่งเก็บผักบุ้ง(หรือหลกในภาษาอีสาน)กำลังง่วนพอดีเลยเก็บภาพไปคุยไปส่วนตัวพี่ขวัญใจก็แยกไปเก็บแขนงกระหล่ำที่จะเอาไปขายตอนเช้าพร้อมกับผักบุ้งที่กำลังเก็บ สามีพี่ขวัญใจบอกว่าที่ที่ปลูกไม่ใช่ของครอบครัวเขาให้ปลูกทำกินเฉยๆไม่มีปัญญาซื้อเขาหรอกที่หาได้ทุกวันก็ต้องเก็บไว้พาลูกสาวคนเล็กเป็นค่าเดินทางไปรักษาตัวเนื่องจากรพ..ในจังหวัดไม่มีหมอเฉพาะทางที่รักษาเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่เลยต้องไปที่รพ.ศูนย์(จังหวัดขอนแก่น)เพราะรพ.ประจำจังหวัด(รพ.เลย)ส่งตัวไปตั้งแต่ครั้งแรกๆที่น้องแยมเกิดมาดีหน่อยที่ลูกชายคนโตเรียนจบแล้วเลยได้เก็บเงินเยอะขึ้น ค่าเดินทางในแต่ละครั้งต้องเหมารถไป ไหนจะค่ากินไม่ต่ำกว่า 3000 -4000 บาทต่อครั้ง ช่วงแรกที่รักษาจะต้องเดินทางไปหลายครั้งภายในเดือนดียว ยังดีที่ตอนนี้น้องแยมดีขึ้นตามลำดับเลยห่างหน่อยนึง


18.00 น. หลังจากเก็บผักที่จะไปขายที่ตลาดตอนเช้าเสร็จแล้วก็จะนำไปทำความสะอาดที่ลำน้ำหน้าบ้านฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เสร็จพอดีแทบจะมองไม่เห็นตอนเดินขึ้นมาจากลำน้ำหน้าที่ของเด็กทั้งสองคนที่อยู่บ้านตั้งแต่พี่ขวัญใจ และสามีเริ่มไปเก็บผักคือเตรียมหุงหาอาหารไว้รอจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับมาเพื่อที่จะได้ทานพร้อมกัน หลังจากอาบน้ำชำระล้างกายกันเรียบร้อย ก็ลงมือรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยโดยเมนูวันนี้คือ ผัดผักบุ้ง ปลาร้าสับ ไข่ดาว ผัดกระเพราหมู กระหล่ะปลีนึ่ง แกบอกว่านานๆจะมีคนมาพักที่บ้านทีนึงเลยให้ลูกโชว์ฝีมือ


หน่อย(ลูกชาย) จะเรียกว่ารับประทานอย่างมูมมามเลยก็ว่าได้ครับอร่อยทุกอย่างเลย(จัดหนัก)หลังจาก ที่กินกันเสร็จเรียบร้อยที่นี่ก็เริ่มงานในช่วงค่ำถ้าเป็นเวลาของคนทั่วไป ก็คงไปหยุดอยู่ที่การพักผ่อนนอนดูละครหลังข่าวภาคค่ำกันไปแล้วแต่พี่ขวัญใจกับสามีต้องเร่งจัดการกับสินค้าที่จะไปขายตอนเช้าโดยการคัดเลือกขนาดและชั่งน้ำหนักมัดละ 1กิโลกรัม เนื่องจากจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายส่งซะเป็นส่วนมากแกจะทำวันละประมาณ 30-40 กิโลกรัมต่อวันเพื่อที่จะได้หมดทุกๆวันในส่วนของผักบุ้ง ส่วนแขนงกระหล่ำก็พรมน้ำทิ้งไว้เพื่อให้สดกว่าจะถึงเวลาไปขายผักที่ปลูก และโดยการปลูกก็ใช้น้ำหมักชีวภาพใส่เพื่อเร่งการเจริญเติบโตและสวยงามโดยไม่มีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องโดยทำเองกับมือนอกจากนั้นยังทำน้ำหมักผลไม้ไว้กินเองอีกด้วย กิจกรรมนี้ถือว่าเป็นอีกกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวเลยก็ว่าได้ครับมีการพูดคุยกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก กันอย่างครื้นเครง คงทำให้หายเหนื่อยกันเป็นปลิดทิ้งครับสำหรับครอบครัวนี้ เวลาร่วงเลยไปจนเกือบจะห้าทุ่มแล้วเด็กทั้งสองคนแยกย้ายกันไปนอนพี่ขวัญใจกับสามียังหลังขดหลังแข็งกันอยู่จนผู้เขียนเริ่มที่จะต้องใช้มือถ่างตาตัวเองแล้วเลยขอนอนก่อน(ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน)















01.20 น. ไม่ต้องรอไก่ขันพี่ขวัญใจและสามีเตรียมของใส่รถลากน้ำพร้อมที่จะไปจำหน่ายสินค้าที่ลงแรงปลูกและทนุถนอมเพื่อแรกเป็นเงิน โดยระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร จากบ้านไปจนถึงตลาดเช้า ผู้ขับขี่คือสามีและพี่ขวัญใจซ้อนท้ายอย่างชำนิชำนาญและเส้นทางเต็มไปด้วยหมอกตอนเช้าต้องขับด้วยความระมัดระวังสุดขีดสามีแกบอกว่าเมื่อก่อนรถคันนี้เป็นไม้แต่เหมือนโชคเข้าข้างหรืออย่างไรไม่รู้มีมอเตอร์ไซค์บรรทุกดีกรีมาเต็มอัตราศึกชนท้ายรถแกอย่างจังในคืนหนึ่งดีที่แกไม่เป็นอะไรแต่รถลากน้ำกลายเป็นเชื้อฟืนอย่างดีให้คนแถวนั้น ตกลงเลยได้รถที่เป็นเหล็กทั้งคันมาแทนตั้งแต่นั้นมาโดยคนขับจำภาพในหนังหรือโฆษณามาอย่างดีคือชนแล้วหนีตามระเบียบมารู้อีกทีว่าเป็นญาติกันก็ตอนมานอนที่รพ.เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วจริงๆ(ยังมีชีวิตอยู่) สำหรับตัวพี่ขวัญใจเองก็เคยขับรถหลับในจนวิ่งเข้าป่ามาแล้วดีที่ว่าไม่เจ็บเท่าไหร่พอที่จะประคองตัวออกมาเรียกให้คนแถวนั้นช่วยได้ แม่ค้าส่วนมากที่มาซื้อผักที่แกมาขายก็มาจากหลายหมู่บ้านหลายอำเภอทั้งที่เป็นขาประจำและขาจร บางคนก็มารอก่อนที่แกจะมาถึงซะอีกเพราะอยู่ไกลและซื้อของที่ต้องการได้แล้วและรอจนกว่าสินค้าของพี่ขวัญใจถึงจะกลับได้


03.00 หลังจากที่ส่งพี่ขวัญใจขายผักที่ตลาดเช้าและช่วยขายอยู่พักนึงสามีของแกก็ขี่รถกลับบ้านเพื่อที่จะเข้าไปในป่าข้าวโพดเพื่อเตรียมหักและต้มไว้นำมาขายที่รพ.และตามหมู่บ้านต่างๆถ้ามีมากพอพร้อมกับลูกชายคนโตที่ขยี่หูขยี่ตาเดินตามก้นพ่อไปดุ่มๆสองคนพ่อลูกช่วยกันเก็บและคุยกันไปต่างๆนาๆหัวเราะต่อกระซิกกันจนสัตว์กลางคืนแถวนั้นต้องออกมานั่งหัวเราะไปด้วย(ผมได้ยินจริงๆ)หลังจากเดินหักไปเรื่อยจนได้ประมาณ 2 กระสอบก็เดินแบกออกมาถึงบริเวณที่ใช้ต้มก็คือที่ที่เป็นส่วนของแกจริงๆตามที่ได้รับมรดกมาส่วนบริเวณที่ปลูกบ้านอยู่เป็นของพี่น้องที่ตอนนี้เขาก็อยากที่จะได้คืนเพื่อที่จะปลูกไว้ให้ลูกหลานอยู่เช่นกันแต่ด้วยสถานะทางการเงินที่มีอยู่ตอนนี้และด้วยที่จะต้องใช้ในการเดินทางไปรักษาตัวลูกสาวคนเล็กทำให้ต้องอยู่อย่างนี้ไปก่อนจนกว่าจะมีเงินซักก้อนนึงโดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หรือแทบจะไม่เห็นความหวังเลย หลังจากช่วยกันแบกข้าวโพดดิบที่หักออกมาแล้วก็เตรียมติดเตาฟืนขนาดใหญ่ตั้งกระทะใบเขื่องเรียบร้อยก็ถึงขั้นตอนของการต้มข้าวโพดโดยใส่เกลือและรักษาความร้อนของเตาไฟให้คงที่โดยมีการปิดฝากะทะเพื่อที่จะให้ข้าวโพดที่ต้มสุกทั่วกันและนั่งรอเติมเชื้อฟืนจนฟ้าเริ่มที่จะทอแสงสีทองขึ้นมา(ลูกชายคนโตขอนอนก่อนบอกว่าเท้าพลิกตอนไปหักข้าวโพดเมื่อวันก่อน)

06.00 หลังจากไปรับพี่ขวัญใจกลับมาจากตลาดตอนประมาณตีห้าถ้าขายหมดเร็วพี่ขวัญใจก็จะมีเวลานอนซักประมาณ 1 ชั่วโมงแต่วันนี้เนื่องจากที่ตลาดมีสินค้าชนิดเดียวกันมาขายเป็นจำนวนมากเลยกว่าจะหมดก็เกือบแจ้งพอดี(หมดเวลานอน) มาถึงพี่ขวัญใจนั่งประจำที่เพื่อตัดแต่งข้าวโพดต้มที่สามีนำออกมาจากกระทะอย่างร้อนรน(ร้อนจนมือพอง)คิดดูครับตาสว่างอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากอุณหภูมิจากข้าวโพดต้มสุกใหม่ๆจะรอให้เย็นก่อนคงไม่ได้เพราะขณะนี้เหลือเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะต้องเตรียมตัวไปทำงานที่รพ.พร้อมด้วยข้าวโพดต้มแบ่งเป็นถุงๆละ 3-4 ฝักเพื่อจะได้ขายอย่างสะดวกสบายในเวลาที่จำกัดจำเขี่ยในแต่ละวัน หลังจากแพ็คสินค้าเรียบร้อยพี่ขวัญใจจะรีบอาบน้ำอย่างรีบร้อนทุกวันโดยที่สามีจะเป็นคนรีดชุดคุณหมอไว้รอหลังจากเตรียมอุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน กินข้าวโดยที่ไม่รู้ว่าความอร่อยเป็นอย่างไรนี่คงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบริโภคอย่างถูกหลักอนามัยเพราะกินข้าวคำน้ำคำทำให้อิ่มเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย(ไม่เปลืองดีพี่แกว่า)


07.30น. เดินทางออกจากบ้านไปรพ. ระยะทางประมาณเกือบ 10 กิโลเมตรพร้อมด้วยข้าวโพดต้มควันกรุ่นเหมือนเพิ่งยกออกมาจากเตาลำเลียงสู่กระเพาะน้อยๆ(แต่ส่วนมากใหญ่)ที่เดินทางมาพร้อมกับกระดาษสีเขียวคนละ 1-2 ใบหรือมากกว่านั้นก็ตามแต่จะฝาก ใครหลายคนบ่นว่าไม่เคยได้กินเลยมาถึงหมดก่อนทุกทีจนต้องสั่งไว้ล่วงหน้าเป็นวันไม่งั้นอด และวันนี้ก็หมดไปแล้วสำหรับข้าวโพดต้ม

08.00น. ถึงเวลางานหลักที่จะต้องทำแล้วพี่ขวัญใจเดินอย่างองอาจ ยิ้มและทักทายเพื่อนร่วมงานที่ผ่านไปมาด้วยความเบิกบาน ทำได้ไงได้ นอนไม่ถึงสองชั่วโมงต่อวันส่วนตัวผู้เขียนเองนั้นแทบจะขอลาหยุดซักวันเข้าให้ แกทำงานอย่างขยันขันแข็งในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบในรพ.อย่างดีจนเวลาร่วงเลยเรื่อยๆและผ่านไปอย่างรวดเร็ว
16.00น. เลิกงานที่รพ.เดินทางกลับบ้านและ…………..ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น