แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิผู้ป่วยของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย
.....................................
.....................................
ข้อ 1 ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ข้อ 2 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะของความเจ็บป่วย
เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการผู้ป่วยต้อง
- ทำความเข้าใจกับสิทธิการรักษาพยาบาลแบบต่าง ๆ
- เมื่อพบผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับสิทธิการรักษาที่ควรได้ หรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิการรักษา ให้ส่งปรึกษาศูนย์ประกันทันที หลังการรักษาภาวะฉุกเฉินเร่งด่วนแล้ว
- หากผู้ป่วยต้องการการรักษาที่ไม่อยู่ในสิทธิตามกฎหมาย ต้องชี้แจงและตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนการรักษา และบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ข้อ 3 ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและเข้าใจชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น
ข้อ 4 ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
- แพทย์ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงอาการของโรค วิธีการรักษา ผลดี ผลเสียที่อาจจะมีขึ้นด้วยภาษาที่ผู้ป่วยสามารถรับรู้และตัดสินใจได้
- ก่อน Admit แพทย์ต้องแจ้งผู้ป่วยถึงการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น เหตุผลที่ต้อง Admit ระยะเวลาที่คาดว่าจะต้องอยู่โรงพยาบาล หากต้องทำหัตถการต้องระบุชื่อหัตถการและวิธีการให้ระงับความรู้สึกและให้เจ้าหน้าที่อื่นเป็นผู้จัดการให้ผู้ป่วยลงนามยินยอม (Informed Consent)
- หากผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง และแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาวะที่จะรับความจริงได้ การบอกความจริงอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลอย่างมาก ควรบอกกับญาติแทน และปรึกษากับญาติว่าควรให้ผู้ป่วยรับทราบความจริงในระดับใด
- การรักษาทางกายภาพบำบัดและการแพทย์แผนไทย นักกายภาพบำบัดและเจ้าพนักงานการแพทย์แผนไทยเป็นผู้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่ผู้ป่วย
- การจับยึด มัด แยก ต้องระบุข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ให้ชัดเจนในเวชระเบียนและอธิบายให้ผู้ป่วยหรือญาติทราบ
- กรณีผู้ป่วยไม่ยินยอมไม่ร่วมมือในการรักษา แพทย์มีหน้าที่ให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยว่าจะเกิดผลอะไรตามมา และบันทึกไว้ในเวชระเบียน ให้ผู้ป่วยลงนามปฏิเสธการรักษา และแพทย์ปรับการรักษาที่ผู้ป่วยยอมรับ หรือส่งต่อให้สถานบริการอื่นดูแลต่อ
ข้อ 5 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุลและประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็นผู้ให้บริการแก่ตน
- ทีมรักษาพยาบาลต้องติดป้ายชื่อ และตำแหน่ง หรือแจ้งให้ผู้รับบริการทราบก่อนให้การรักษาพยาบาล
ข้อ 6 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการและสถานบริการได้
- ผู้ป่วยที่ตรวจกับพยาบาลแล้วหากต้องการพบแพทย์ ให้ส่งปรึกษาแพทย์
- หากผู้ป่วยขอให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น ให้ส่งต่อตามขั้นตอนของการใช้สิทธิในระบบประกันสุขภาพ ฯ ยกเว้นแต่ผู้ป่วยไม่ต้องการใช้สิทธิให้ส่งไปโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยต้องการ
ข้อ 7 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเองจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
- กรณีบริษัทประกันขอทราบข้อมูลของผู้ป่วยต้องมี หนังสือยินยอมจากผู้ป่วยประกอบทุกครั้ง และนำเอกสารข้อมูลของผู้ป่วยใส่ซองตีตรา “ลับ“ ส่งให้บริษัทประกัน
- เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทุกคนรวมทั้งเจ้าหน้าที่บริษัทที่ทำงานในโรงพยาบาล ต้องเคารพในศักดิ์ศรีและความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยและมีหน้าที่ในการปกปิดความลับของผู้ป่วย
- การเปิดเผยร่างกายของผู้ป่วย เพื่อการตรวจวินิจฉัยรักษาพยาบาล ต้องกระทำในที่มิดชิด และมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำเป็นอยู่ด้วย
ข้อ 8 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการวิจัยของผู้ประกอบการวิชาชีพด้านสุขภาพ
ข้อ 9 ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฎในเวช-ระเบียนเมื่อร้องขอทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น
- เมื่อผู้ป่วยร้องขอประวัติในเวชระเบียน ให้แพทย์ผู้ดูแลสั่งถ่ายเอกสารให้ผู้ป่วยโดยคิดค่าถ่ายเอกสารได้ แต่ต้องลบข้อมูลส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นออก เช่น ติดโรคมาจากใคร
ข้อ 10 บิดา มารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรมอาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุยังไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเองได้
- การดูแลรักษาผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 18 ปี ให้ขออนุญาตจากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองโดยชอบธรรม
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคจิต ปัญญาอ่อน หรือมีภาวะสับสนไม่รู้สึกตัวต้องให้ญาติสายตรงเป็นผู้ใช้สิทธิแทน
- กรณีไม่มีญาตินำส่ง ให้ผู้นำชุมชนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมรับรู้ด้วย
- ภาวะฉุกเฉิน เร่งด่วน ไม่อาจรอได้ให้บันทึกเหตุผลความจำเป็นไว้ในเวชระเบียนให้ชัดเจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น