วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิเทศงาน คปสอ.ภูกระดึง

06.45 น.

ปั่นจักรยานออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเข้าไปเคลียงานเอกสารบนโต๊ะทำงาน ก่อนที่จะขับรถยนต์ออกจากโรงพยาบาลโดยวันนี้ภาระกิจยังเป็นการออกนิเทศงานกับทีม ICT สสจ.เลย ระหว่างเส้นทางก่อนถึงโคกงามหมอกลงจัด อากาศข้างนอกเย็นค่อนข้างหนาว แต่ข้างในรถขับไปกลับร้อนอบอ้าวชอบกล ขนาดผมเปิดเบอร์ 5 สุดๆ แล้ว แค้แอร์ที่เปิดไว้ก็มีลม..แต่ไม่เย็น..

เมื่อวันจันทร์ขับมายังปกติดี ไม่มีปัญหา แต่ไหงวันนี้แอร์ดันมาเสียซะนี่ ด้วยความรีบผมจึงขับไปเรื่อยๆเพราะเกรงว่าจะไปถึงเมืองเลยสาย ดีแต่ว่าอากาศข้างนอกเย็น เลยเปิดหน้าต่างรับแอร์ธรรมชาติดีว่า


มาถึง สสจ.เลยทันตามกำหนดเวลา ระหว่างที่รอดับเครื่องอดไม่ได้ที่จะลองดูที่แอร์อีกครั้งว่าทำอะไรผิดพลาดหรือเปล่ามันถึงไม่เย็น ปิด เปิด ดูก็ยังเหมือนเดิม จนมาแอะใจกับปุ่ม A/C ที่ปกติมันจะมีไฟสีเขียวติด ...ชะ อุ้ย

ลองกดดูไฟเขียวติด กดอีกทีไฟเขียวดับ..เฮ้อ..ไม่น่าโง่เลยตู







08.45 น.
 

ทีมงานเดินทางออกจาก สสจ.เลย จุดหมายปลายทางในวันนี้ในช่วงเช้าที่ รพ.สต.นาแปนใต้ ของ คปสอ.ภูกระดึง  ผมได้ยินแว่วๆว่า รพ.สต.แห่งนี้กำลังจะส่งประกวดอะไรซักอย่าง สภาพแวดล้อมโดยทั่วๆไปจึงกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทาสี ไล่ลงมาตั้งแต่หลังคาที่ลงทุนทาสีแดงมองเห็นโดดเด่นแต่ไกลๆ ป้ายสถานีอนามัยใหม่เอี่ยม

ทีมงานของ คปสอ.ภูกระดึงรอเตรียมพร้อม นำทีมโดย ประสงค์ ศิษย์เก่าด่านซ้าย เคยทำงานด้วยกันสมัยที่ผมยังเป็นนักวิชาการอยู่ที่ สสอ. ส่วนประสงค์รักษาการหัวหน้า สอ.กกจำปา อยู่หลายปีก่อนจะย้ายกลับมาที่ภูกระดึง  มีการกล่าวต้อนรับและแนะนำตัวกันพอเป็นพิธีก่อนที่เริ่มชี้แจงเนื้อหาสาระสำคัญของการมาติดตามงาน  ซึ่งเป็นหน้าที่ของยอดชายนายต๋องทำหน้าที่ชี้แจงเช่นเคย


ส่วนพี่เข้ และผมทำหน้าที่ในเรื่องการตอบคำถามในส่วนของการใช้ HOSxP PCU รวมถึงการตรวจสอบฐานข้อมูล จากการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล  ซึ่งพบปัญหาใสส่วนของบัญชี 1,2 ,3 ที่ไม่สมบูรณ์ มีข้อมูลเก่าและยังไม่ถูกจำหน่ายยังมีอยู่มาก ความเข้าใจในเรื่องของการบันทึกและส่งออกข้อมูลยังเป็นประเด็นที่คลาดเคลื่อนจากที่อบรมอยู่พอสมควร 

วันนี้ไม่รู้ว่าอากาศร้อน หรือทีมนิเทศอ่อนอกอ่อนใจกับข้อมูลที่ยังมีปัญหาค่อนข้างมาก มองดูสีหน้า แววตาของคนฟัง และบรรยากาศในห้องประชุม ดูแล้วขาดชีวิตชีวายังไงชอบกล... คำถามในห้องประชุมมีไม่มากนัก ทำให้เวลาของการประชุมจบลงแบบไม่ยืดเยื้อ


    มื้อเที่ยงมีข้าวเหนียว ส้มตำ ผัดผัก เกาเหลา และตบตูดด้วยแตงโมเป็นของหวานปิดท้ายรายการ  

    เดินทางออกจาก รพ.สต.นาแปนใต้ มุ่งไปยังจุดหมายต่อไป คือ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติกิ่งอำเภอหนองหิน.. 

     แม้จะเป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แล้ว แต่ยังมีคนไข้รอรับบริการจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จึงยังคงวุ่นวายกับการให้บริการ ทีม สสจ.และผมจึงเดินสำรวจพื้นที่ภายในอาคารตามห้องต่างๆ  ดูแล้วสารภาพตรงๆครับว่ารู้สึกเหนื่อย....ยังไงไม่รู้

    สภาพห้องเก็บ server สาย LAN ระโยงระยาง บ่งบอกสภาพระบบเครือข่ายที่วางอย่างหละหลวม หลายจุดใช้กระดาวกาวปิดแปะไว้..

    แม้จะมีสถานะเป็นสถานีอนามัย แต่ที่นี่ใช้ HOSxP แบบเดียวกับที่โรงพยาบาลใช้ เพราะมีแพทย์ พยาบาล เภสัช ห้องบัตร นักเทคนิคการแพทย์ นักกายภาพ ทันตาภิบาล อยู่ประจำ..

    ต๋องใช้เวลาชี้แจงเรื่องปัญหา และวิธีการตรวจสอบและส่งข้อมูลไม่นานนัก ก่อนจะที่โยนไมค์ให้ผม..ร้องเพลง เอ๊ย..อธิบายต่อ

    โดยส่วนตัวแล้วผมเองวันนี้ค่อนข้างหนักใจกับปัญหาการใช้งานของที่นี่ เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่เข้าใจวิธีการลงบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องค่อนข้างมาก ระบบเครือข่ายที่ยังมีปัญหา รวมถึงระบบงานที่ยังต้องทำงานซ้ำซ้อนกันอย่างมาก.. ซึ่งไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะแก้ไข


    ผมใช้วิธีการเรียนจากคำถาม การให้เจ้าหน้าที่ลองทำให้ดู และการสอบถาม ซึ่งหลายๆปัญหาต้องเรียนกันตามตรงครับว่าที่นี่ต้องมาฝึกอบรมบุคลากรเรื่องการใช้งาน HOSxP แบบชุดใหญ่ ปัญหาที่พบ อย่างแรกคือการใช้งาน HOSxPของเครื่องลูกข่ายมีมากกว่า 4 เวอร์ชั่้น ตั้งแต่เวอร์ชั่นปี 53ก็ยังมี และฐานข้อมูลอัพเดตล่าสุดที่เวอร์ชั่น 3.54.2.2  ส่วนการใช้งานยังทำคู่ขนานกับระบบ Manual ระบบทะเบียนรายงานยังอยู่แบบครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นทะเบียนนัด ทะเบียนส่งต่อ ฯลฯ หลายโมดูลไม่ได้ใช้โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทันตกรรม การลงข้อมูลเป็นหน้าที่ของน้องเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล ซึ่งแน่นอนครับว่าข้อมูลส่วนใหญ่จึงได้แค่ Dx ยา และค่าใช้จ่ายที่ไม่ครบถ้วน.. ทางทีมจึงให้แบงค์อัพสอนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอัพเวอร์ชั่นให้เป็นตัวเดียวกัน และสอนเรื่องการใช้โปรแกรม teamviewer โปรแกรม join.me เพื่อใช้ในการติดต่อสอบถามการใช้งานโปรแกรม  ในส่วนเรื่องอื่นๆผมไม่ได้ตอบคำถามมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้จะเริ่มตอบจากตรงไหนก่อนดี  และภาพจากโปรเจคเตอร์วันนี้ดูแล้วทรมานสายตามากกว่าที่จะช่วยเรื่องการนำเสนอ

    ผม...

    ขับรถกลับด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง..มีหลายเรื่องยังคงค้างคาใจ..แค่คิดปรุงแต่งไปว่าจะต้องทำโน้น ทำนี่ อีกเยอะแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับ  หลายๆเรื่องบางอย่างก็ยากเกินไปเพราะเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ความใส่ใจ ให้ความสำคัญของผู้บริหารและคนที่ทำงานเอง...




    บทส่งท้าย...

    นักดนตรีคนหนึ่ง ยืนอยู่บริเวณทางเข้า สถานีรถไฟใต้ดิน " L‘Enfant Plaza” (วอชิงตัน ดี ซี) สักพักใหญ่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในวันอันแสนหนาว เมื่อเดือน มกราคม  เขาเล่นดนตรีหลายเพลง นานถึง 45 นาทีขณะนั้น เป็นเวลา ประมาณ 8.00 น. ผู้โดยสารนับพัน นับหมื่น รีบเร่งเดินทางไปทำงาน การแสดงผ่านไป 3 นาที ชายกลางคนชลอความเร็วลง หยุดฟังไม่กี่วินาที แล้วเร่งฝีเท้าเดินจากไป เวลาผ่านไปอีก 1 นาที นักดนตรี ได้รับเงิน 1 ยูเอส ดอลล่าร์ แรก จากหญิงสาวคนหนึ่ง แต่หล่อนก็ไม่ได้หยุดฟัง เวลาผ่านไปหลายนาที

    มีผู้โดยสารคนหนึ่งหยุดดูอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากเหลือบดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็เดินจากไป สิ่งที่ทำให้ให้นักคนตรีคนนี้ประทับใจก็คือ เด็กชาย อายุ 3 ขวบ หยุดฟังการแสดงอย่างสนใจ แต่มารดา ทั้งฉุดทั้งดึงให้ลูกชายเดินต่อไปแต่เด็กชาย เดินไปพลาง เหลียวหลังหันมาดู จนเดินลับตาไป

    ตลอดเวลา การแสดง 45 นาที นั้น มีเพียง 7 คน ที่หยุดดูการแสดง
    เขาได้รับเงินจากการแสดง 32 ยูเอสดอลล่าร์
    เมื่อเขาจบการแสดง ไม่มีคนสนใจ ไม่มีใครปรบมือให้ ในจำนวนคนนับพันที่ผ่านไปมา
    มีเพียง 1 คน เท่านั้น
    ที่สนใจการแสดงของเขาจริงๆ

    ไม่มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้ว เขาคือ Josbua Bell
    หนึ่งในนักดนตรีไวโอลินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบัน

    เขาเลือกเล่นเพลงที่จัดว่าเล่นยากที่สุดในโลก มาแสดงในวันนั้น
    ที่สถานีรถไฟใต้ดิน นอกจากนั้น ไวโอลินที่ใช้เล่น
    เป็นไวโอลินอิตาลีที่ผลิตในปี ค.ศ. 1713 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้าน 5 แสน
    ยูเอสดอลล่าร์ (ประมาณ 117 ล้าน บาท)


    ก่อนหน้าการแสดงที่สถานีรถไฟใต้ดิน 2 วัน เขาได้เข้าร่วมการแสดงดนตรีที่
    บอสตัน ถึงแม้บัตรจะราคาหลายร้อยเหรียญสหรัฐ แต่บัตรก็ขายจนหมด
    นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง

    การที่ Joshua Bell ไปเล่นไวโอลิน ที่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น
    ทีมงานหนังสือพิมพ์ออนไลน์วอชิงตัน จัดทำขึ้น วัตถุประสงค์
    เพื่อทดสอบพฤติกรรมของคน ในการรับรู้ รสนิยม และ ปฎิกิริยา

    เพื่อต้องการคำตอบที่ว่า ขณะที่คนเราอยู่ในที่สาธารณะ
    อยู่ในเวลาที่รีบเร่ง คนเราจะยังสามารถรับรู้ความสุนทรีย์รอบข้างได้หรือไม่
    เราสามารถหยุด เพื่อรับรู้ความสวยงามเหล่านี้ได้หรือไม่
    เราสามารถค้นพบอัจฉริยะในสภาพแวดล้อมที่รีบเร่งหรือไม่

    อาจจะมีบทสรุปคือ .....
    หากคนเราคิดว่า ไม่มีเวลาที่จะหยุดลงสักครู่
    เพื่อฟังดนตรีที่บรรเลงโดยนักดนตรีที่มีความสามารถเล่นเพลงที่แต่งอย่างสละสลวย
    ไม่รู้ว่า.... ยังมีคนอีกมากมายเท่าไร
    ที่พลาดสิ่งดีๆรอบตัวไปอย่างน่าเสียดาย ....
    คัดลอกจาก วินบุ๊คคลับ


    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น