วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องน่าเศร้าของ ดรัมเมเยอร์และบัณฑิต ตัวน้อย ๆ


ท่ามกลางแสงไฟจากแฟลชกล้องถ่ายรูป รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความชื่นชมยินดี ทั้งของเด็กและผู้ปกครองในงาน "บัณฑิตน้อย" น่าแปลกที่ฉันกลับได้ยินเสียงร้องไห้และมองเห็นแววตาแสนเศร้าของเด็กที่ไม่มีช่อดอกไม้ในวงแขน ไม่ได้ทำผม แต่งหน้าสวยหล่อเหมือนเด็กคนอื่นๆ ฉันลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเราสามารถได้ยินเสียงในใจของผู้ปกครองของเด็กเหล่านี้ได้ คงจะร้องไห้เสียงดังไม่แพ้ลูกหลาน แต่ก็ยังต้องฝืนยิ้มท่ามกลางช่องว่างทางสังคมที่เราเองเป็นผู้ทำให้มันกว้างขึ้นทุกที...ทุกที

ฉันย้อนกลับไปนึกถึงงานวันกีฬาสีเมื่อเกือบ 20ปีที่แล้ว ฉันสนุกสนานกับการถ่ายภาพดรัมเมเยอร์ตัวน้อย ที่แต่งตัวน่ารักสมวัย แต่ปัจจุบันนี้ฉันมองเห็น ดรัมเมเยอร์ที่ตัวน้อยเหมือนเดิมแต่ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง จนฉันแทบจำไม่ได้ว่าเป็นลูกหลานใคร ใช่เด็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่เราเคยรู้จักรึเปล่านะ เด็กๆ เหล่านี้ใส่ชุดที่ฉันเรียกเอาเองว่า"ชุดนักร้อง"ฟูฟ่อง สายเดี่ยว โชว์ไหล่ โชว์หลัง โชว์ขา แล้วบรรดาผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายก็พากันถ่ายรูปพร้อมกับเอ่ยปากชมว่า สวย น่ารัก ไม่ขาดสาย ทั้งเด็กทั้งครูก็ยิ้มกันแก้มปริ ฉันอยากรู้จังว่าถ้าเด็กๆ เหล่านี้โตขึ้น แล้วแต่งตัวแบบเดียวกันนี้ ผู้ใหญ่ทั้งหลายจะยังคงชื่นชมยินดีกันอยู่รึเปล่านะ ฉันนึกภาพเด็กที่ควรได้นอนเต็มอิ่ม ต้องแหวกม่านขี้ตาตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อไปร้านเสริมสวย ฉันนึกถึงผู้ปกครองที่ต้องไปหาเช่าชุดนักร้องให้ลูกหลาน ถ้าผู้ปกครองเหล่านี้มีรายได้เพียงพอสำหรับจ่ายค่าทำสวยเหล่านี้ได้ก็คงไม่เดือดร้อน แต่หากผู้ปกครองที่มีรายได้เพียงหาเช้ากินค่ำไปวันๆ ล่ะ เขาจะทำอย่างไรนะเมื่อได้ยินคำรบเร้าหรือเสียงร้องไห้จากลูกหลาน ด้วยเหตุผลตามประสาเด็กว่า "หนูอยากสวยเหมือนเพื่อนคนอื่น" เขาคงไปยืมเงินมาเป็นค่าแต่งหน้า ทำผม เช่าชุด ให้ลูกหลานด้วยเหตุผลเดียวคือ "ความรัก" นั่นเอง

ฉันไม่ได้ไปถ่ายรูปในงานวันกีฬาสีนานหลายปีแล้ว คงเป็นเพราะเมื่อนึกถึงเบื้องหลังของดรัมเมเยอร์น้อย ๆ เหล่านี้ นึกถึงแววตาของเด็กที่ไม่ได้เป็นดรัมเมเยอร์ นึกถึงอนาคตของเด็กด่านซ้ายที่เติบโตท่ามกลางกระแสทุนนิยมอันเชียวกราก มันเศร้าเกินไปที่ฉันจะฝืนใจกดชัตเตอร์บันทึกภาพได้

"เด็ก" เป็นวัยแห่งการเรียนรู้และเติบโต เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหนขึ้นกับสิ่งแวดล้อมที่รายล้อมให้เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้

"สอน" คำนี้มิได้มีความหมายเพียงการสอนในห้องเรียนเท่านั้น หากทุกคน ทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ เป็นครูของเด็กๆทั้งสิ้น

ทุกวันนี้ ผู้ใหญ่อย่างเราพากันสร้างกระแสทุนนิยมให้เกิดขึ้นกับเด็กโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างต้องใช้เงินเกือบทั้งสิ้น นอกจากกระแสทุนนิยมแล้ว เรายังสร้างช่องว่างระหว่างคนรวย คนจน ให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ทุกวัน ทุกวัน และเราก็กำลังถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ในหลุมพรางที่เราขุดขึ้นเอง

ฉันไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับงาน"วันกีฬาสี"และ"วันบัณฑิตน้อย"นะแต่ฉันคิดว่าเราจัดงานอย่างสร้างสรรค์ที่ปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับเด็กๆ ได้

"งานวันกีฬาสี" คุณครูต้องกล้าหาญที่จะบอกกับเด็กๆว่าไม่ต้องแต่งหน้านะเด็กๆที่ไม่แต่งหน้าน่ะ น่ารัก สวย บริสุทธิ์ ที่สุด ผมก็เพีงแค่หวี มัดให้เรียบร้อยจะถักเปียให้ดูน่ารักขึ้นก็ได้ดรัมเมเยอร์ คือ เด็กที่ความประพฤติดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เด็กที่ผู้ปกครองมีฐานะดีพอที่จะจ่ายค่าแต่งหน้า ทำผม เช่าชุดได้ เด็กที่เป็นดรัมเมเยอร์เค้าจะได้ภูมิใจในความดีของตัวเอง ไม่ใช่ภูมิใจในความงามซึ่งเป็นสิ่งภายนอก หากทางโรงเรียนจะมีชุดดรัมเมเยอร์เท่ๆเก๋ๆสมวัยสำหรับให้เด็กดีแต่ฐานะยากจนยืมใส่ จะยิ่งยอดเยี่ยมมากๆ



"งานบัณฑิตน้อย" วัตถุประสงค์ของงานน่าจะเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้เด็กที่เค้าสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ มีความอดทน อดกลั้น และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆผู้จัดงานควรให้ความสำคัญกับการแสดงความสามารถของเด็กๆ ที่เหมาะสมกับวัยให้ความสำคัญกับเด้ฏที่มีความประพฤติดี มีน้ำใจ ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับการใส่ชุดครุย แต่งหน้า ทำผม มอบช่อดอกไม้ ถ่ายรูปซึ่งเด็กๆ รับรู้เพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้นคือได้แต่งหน้า ทำผมได้แต่งตัวสวยได้ถ่ายรูป ฉันอยากเห็นบรรยากาศของการร้องเพลงหมู่ของเด็กๆ อยากได้ยินเด็กพูดว่าโตขึ้นเค้าอยากทำความดีอะไรเพื่อเมืองด่านซ้ายของเรา อยากเห็นการแสดงความรักในครอบครัวผ่านการโอบกอด หอมแก้ม กล่าวชื่นชมยินดี มากกว่าการมัวแต่ถ่ายภาพและบอกให้ "ยิ้มสิลูก" "ยิ้มหน่อยค่ะ" ทั้งๆที่ในใจของเด็กๆนั้นอยากตะโกนบอกผู้ใหญ่ว่า "หนูเหนื่อย" "หนูร้อน""หนูอยากให้พ่อแม่กอดหนู"

บทความนี้ ฉันเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเด็กๆเขียนขึ้นด้วยความรู้สึกว่าครอบครัวเมืองด่านซ้ายที่ฉันรักกำลังเดินหลงทาง โดยรู้ไม่เท่าทันกระแสทุนนิยมที่หลั่งไหลมาอย่างรวดเร็วและทุกทิศทางฉันอยากให้บทความนี้ตั้งคำถามให้"ผู้ใหญ่ด่านซ้าย" ช่วยกันตอบว่า

"กิจกรรมเพื่อเด็กด่านซ้าย จะเดินตามรอยเดิม หรือแผ้วถางทางใหม่ร่วมกัน?"
ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นได้ที่ darinaoy@gmail.com









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น