วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อเด็กไทย “ท้องในวัยเรียน” สังคมไทย จะเป็นเช่นไร !!!


๒ พฤษภาคม ๒๕๕๓


สถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ได้ทวีความรุนแรงสูงมากขึ้นเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการมีทัศนคติและพฤติกรรมเบี่ยงเบน เหินห่างศาสนามีค่านิยมแบบบริโภคนิยมอย่างฟุ่มเฟือย การทะเลาะวิวาท ติดยาเสพติด การเสพสื่อลามกอนาจาร ติดเกม ฯลฯ ซึ่งปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และขาดความรู้ความเข้าใจในการคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทย ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่มีแนวโน้มรุนแรงและหนักหน่วงจนน่าตกใจ ซึ่งปัจจัยหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของสื่อที่ไม่เหมาะสมหรือลามกอนาจารผ่านทางสื่อแต่ละประเภท จนทำให้เด็กและเยาวชนไทยซึ่งขาดภูมิคุ้มกันในการบริโภคสื่อ มีการเลียนแบบพฤติกรรมและนำไปสู่ปัญหาดังกล่าว

ปัญหาเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร

ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจัยหนึ่ง มาจากความไม่สมดุลของครอบครัว เนื่องจากครอบครัวจำนวนไม่น้อย ขาดความรู้ความเข้าใจ เรื่องเพศศึกษา จึงไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับบุตรหลานได้อย่างเหมาะสม สำหรับบางครอบครัวได้ผลักภาระหน้าที่การให้ความรู้ด้านเพศศึกษาไปให้แก่ครู อาจารย์ หรือผู้อื่นสอนแทน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีทัศนคติว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องน่าอับอาย ต้องปกปิดไม่สมควรพูดอย่างเปิดเผย หรือเข้าใจว่าการสอนเรื่องเพศศึกษาให้แก่ลูกหลานในครอบครัวอาจเป็นดาบสองคม นอกจากนั้น การไม่มีเวลาดูแลพูดคุยให้คำแนะนำปรึกษากับลูกหลาน เพราะห่วงเรื่องเศรษฐกิจและการประกอบอาชีพเป็นหลัก

(งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การให้ความรู้หรือคำแนะนำที่ถูกต้องเรื่องเพศศึกษานั้น ผู้ปกครองในครอบครัวสามารถให้ความรู้กับลูกหลานได้ใกล้ชิดกว่าคนอื่น และเด็กจะเชื่อฟังมากกว่า

เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรหรือยังไม่พร้อมนั้น ปัญหาในส่วนอื่นๆ ย่อมตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเสียอนาคตที่ดีในชีวิตของทั้งฝ่ายชายและหญิง ปัญหาครอบครัวแตกแยก ปัญหาการทำแท้ง การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การเลี้ยงลูกที่ไม่ถูกวิธีเพราะตัวพ่อแม่เด็กเอง ไม่มีวุฒิภาวะในการอบรมเลี้ยงดู การทอดทิ้งลูกให้เป็นลูกกำพร้า ซึ่งเด็กที่ถูกทอดทิ้งเหล่านั้น ล้วนมีความเปราะบางทางสภาพติดใจ และอาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมที่ไม่สามารถคลายปมให้หลุดได้

"จากผลการศึกษาสถิติด้านสาธารณสุขพบว่า ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๒ วัยรุ่นมีการตั้งครรภ์ก่อนวัย เพิ่มขึ้นจาก ๑๐% มาเป็น ๔๐% และจากการสำรวจ ในช่วง ๗ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๓-๒๕๕๐ พบว่า ช่วงอายุการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร มีแนวโน้มลดลงด้วย โดยพบว่าเด็กอายุ ๑๐ ปี มีการตั้งครรภ์สูงถึง ๖๐ คน และเด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี คลอดบุตรจำนวน ๕๕,๖๔๘ คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำรวจเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น"

การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของเด็กและเยาวชน ถือเป็นปัญหาใหญ่และเป็นเรื่องหนักใจของทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเด็ก และรวมถึงตัวเด็กเอง เพราะโดยปกติแล้ว "เด็กวัยรุ่นในช่วงอายุ ๑๐-๒๐ ปี ยังไม่พร้อมต่อการเป็นพ่อแม่คน ทั้งทางด้านเสถียรภาพทางการเงิน และวุฒิภาวะทางอารมณ์ ตลอดจนการดูแลรับผิดชอบหรือการอบรมเลี้ยงดู" ซึ่งนักวิชาการด้านสาธารณสุขและนักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นหลายท่าน ได้นำเสนอวิธีการป้องกันไม่ให้วัยรุ่นตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ดังนี้

๑.การให้ความรู้ กล่าวคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความรู้ในเรื่องเพศศึกษากับลูกอย่าถือเป็นเรื่องน่าอายและปกปิดไว้ ลูกอาจเรียนรู้ในห้องเรียนมาบ้าง แต่คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ใกล้ชิด และเข้าใจลูกมากกว่า จึงทำให้การสอน การพูดคุย ตลอดจนให้คำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสมได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งวิธีการเริ่มต้นที่ดีและง่ายที่สุด คือ "คุณพ่อคุณแม่ควรหาจังหวะเวลาที่เหมาะสม ชักชวนลูกพูดคุยหรือเปิดประเด็นสนทนาโดยการสอบถามลูกว่าทราบเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากน้อยขนาดไหน" เมื่อคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและรู้ว่าลูกมีความเข้าใจอยู่ในขั้นไหนแล้วก็ให้เสริมความรู้ต่อจากที่ลูกมี บอกลูกถึงข้อพึงระวังตัว การแต่งกายและการวางตัวให้เหมาะสมกับเพศตรงข้าม รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของสรีระร่างกาย สภาพจิตใจอันเป็นผลจากฮอร์โมนเพศและความต้องการทางเพศของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องน่าละอาย และยากต่อการพูดคุย แต่คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกในเรื่องนี้โดยพยายามทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ค่อยๆ พูดทีละเล็กทีละน้อย เพราะจะช่วยให้ลูกเกิดความเข้าใจ เชื่อและยอมรับได้มากกว่าการอธิบายทุกอย่างในครั้งเดียว อีกทั้งยังทำให้ลูกรู้สึกชินว่าเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ อีกทั้งไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอีกด้วย

๒.การคุมกำเนิด

วิธีการคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีมากมายหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย และเหมาะสมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ "อาจหาจังหวะเวลาหรือโอกาสที่เหมาะสมให้ลูก ได้มีโอกาสสอบถามพูดคุยกับหมอหรือผู้ที่มีความรู้ในเรื่องเพศศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจถึงลักษณะที่แตกต่างกันของการคุมกำเนิดในแต่ละวิธี เช่น การใช้ถุงยางอนามัย การใช้ยาคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด หรือการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ฯลฯ"

๓.การจัดกฎระเบียบหรือกติกาภายในครอบครัว

"การดูแลให้มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยในเวลาที่มีการจัดงานเลี้ยงภายในบ้านหรือสถานที่ต่างๆ หรือการสร้างกฎกติกาให้ลูกโทรศัพท์กลับมาหาทุกครึ่งชั่วโมง หรือในวันเรียนหนังสือไม่อนุญาต ให้กลับบ้านเกิน ๓ ทุ่ม" เป็นต้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้ลูกซึ่งเป็นวัยรุ่นอาจคิดว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพของเขา แต่เป็นวิธีการที่จะช่วยลดปัญหาการมีเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ได้อีกทางหนึ่ง

หลานห่างไกลจาก เป็นที่เข้าใจกันดีว่า "วัยรุ่นเป็นวัยที่เข้าใจยาก คึกคะนอง อยากลองผิดลองถูก ชอบแสดงออกความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสรเสรีในการดำเนินชีวิต และมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูกหรือบุคคลในครอบครัว การประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็นอย่างสม่ำเสมอ อาทิ การเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน การแสดงความรักความเข้าใจ ห่วงหาอาทร หรือการสร้างความอบอุ่นระหว่างสมาชิกภายในครอบครัว สิ่งเหล่านี้คือ ภูมิต้านทานที่สร้างได้ภายในครอบครัว และสามารถช่วยให้ลูกปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี"

สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในส่วนของภาครัฐ ชั่วโมงนี้คงไม่ใช่ภารกิจความรับผิดชอบของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงเท่านั้น ล่าสุด นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติ อีกทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเด็กในทุกมิติ ซึ่งในการเปิดเวที สิทธิเด็ก ครั้งที่ ๒๐ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ณ ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนเป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ ได้กำหนดนโยบายด้านเด็กหลายด้าน ทั้งด้านการศึกษา การดูแลเด็กปฐมวัย และเด็กด้อยโอกาส ให้ได้รับสิทธิและโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับปัญหาเด็กเยาวชนท้องก่อนวัยอันควร ถือเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

เพื่อตอบสนองนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้ทำงานเชิงบูรณาการความร่วมมือจัดเวทีเสวนาเรื่อง รักใสๆ ให้ปลอดภัยของวัยโจ๋ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นและร่วมกันหาแนวทางป้องกันปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของวัยรุ่น อีกทั้งเป็นการสร้างกระแสให้สังคมได้ตระหนักในปัญหาดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นข้อเสนอที่ได้รับจากการระดมความคิดเห็นเหล่านั้น จะนำไปพัฒนาเพื่อ เป็นแนวทางในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป

กล่าวโดยสรุป "การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรของเด็กและเยาวชน ต้องเริ่มจากตัวเด็กเองที่ต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีวุฒิภาวะที่เหมาะสมตามช่วงวัย รู้จักการยับยั้งชั่งใจและมีสติในการดำเนินชีวิต พ่อแม่บุคคลในครอบครัว หรือสังคมแวดล้อมต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาและบ่มเพาะวุฒิภาวะให้แก่เด็กและเยาวชน" ในส่วนของภาครัฐ ต้องมีความจริงจังในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของสื่อลามกหรือสื่อที่ล่อแหลม ไม่เหมาะสมที่มีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อประเภทต่างๆ รวมถึงสถานที่ล่อแหลมทางเพศ หรือสิ่งยั่วยุพฤติกรรมทางเพศ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องปราบปรามจับกุมและลงโทษผู้กระทำความผิดโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่อง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งขยายหรือเปิดพื้นที่สื่อดีให้กว้างขวางและแพร่หลายในสังคมไทยอีกทั้งเร่งปรับปรุงพัฒนากฎหมายให้ทันสมัยกับสถานการณ์ปัญหาเพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้แก่เด็กและเยาวชน เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติไทย ต่อไป


บทความจาก http://www.oknation.net/blog/jessada5577/2010/06/17/entry-5

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครอบครัวตัวอย่าง (ครอบครัว เบญจวรรณ ผิวเหลือง)


พี่จุ๋ม แม่จุ๋ม หรือ เบญจวรรณ ผิวเหลือง ข้าราชการ ตำแหน่งเจ้าพนักงาน เภสัชกรรมชุมชน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย พี่จุ๋ม อารมณ์ดี และมีความสุขถึงแม้หลังเลิกงาน พี่จุ๋ม อยู่บ้านคนเดียวเนื่องจากสามี หรือ จ่าสิบเอก บัณฑิต และน้องบู๊ช ลูกชายคนโต เป็นทหารพรานประจำการอยู่ที่ จ.เลย ส่วน น้องโบส วรพจน์ กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียน มหาไถ่ศึกษา จ.เลย เช่นกัน แต่ พี่จุ๋ม บอกว่า สบายดี มีหมาเป็นเพื่อนตั้ง ๒ ตัว อิอิ

ปีนี้ (๒๕๕๔) ครอบครัวของ พี่จุ๋ม ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัล “ครอบครัวตัวอย่าง” จาก กรรมการพัฒนาบุคลากร HRD โดยมีครอบครัวของ พี่ตุ้ม ตำแหน่ง พนักผู้ช่วยเหลือคนไข้ งานห้องคลอด ที่ได้รับรางวัลนี้เช่นกัน

พี่บัณฑิต และ พี่จุ๋ม พบกันที่โรงพยาบาลด่านซ้าย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ พี่บัณฑิต มาประจำการที่ด่านซ้ายและเนื่องจากผู้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บจากการออกปฏิบัติงาน พี่บัณฑิต ดูแลรับส่งหัวหน้าเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆและต้องไปรับยาที่ห้องจ่ายยาทำให้ทั้งสองได้พบเจอกันและพูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น ชวนไปทานข้าวบ้างในบางโอกาส

หลังจากพุดคุยไปได้ระยะหนึ่ง พี่บัณฑิต พาหัวหน้ามาดูตัว พี่จุ๋ม โดยที่ พี่จุ๋ม ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน และบอกหัวหน้าว่า พี่จุ๋ม คือ “คนที่ใช่” โดยที่พี่บัณฑิตได้ไปสู่ขอ พี่จุ๋ม ถึง ๓ ครั้ง ก่อนที่จะแต่งงานกัน

พี่บัณฑิต บอกว่า พี่จุ๋ม เป็นคนพูดจาไม่เพราะ โผงผาง แต่จริงใจ โดยที่ พี่จุ่ม พูดถึงว่าพี่บัณฑิต เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยนำเรื่องหนักใจเข้ามาสร้างปัญหาให้ครอบครัว

พี่จุ๋ม พูดถึงลูกชายด้วยความภาคภูมิใจว่า ไม่เสียใจที่มีลูกชายถึง ๒ คน เพราะเขาทำทุกอย่างให้ได้เหมือนลูกสาว หุงข้าว ซักผ้า ล้างจาน ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่กลับมาบ้าน และไม่เคยทำเรื่องร้อนใจมาให้พ่อกับแม่เลย

พี่บัณฑิต บอกว่าไม่รู้ว่าความสุขที่จะหาได้จากที่ไหนคงไม่มีแล้วนอกจากที่นี่

ลูกชายทั้งสองคนของ พี่จุ๋ม บอกว่า ขอบคุณและดีใจมากที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้


ครอบครัวที่อบอุ่น มีความรัก ความห่วงใย และ พร้อมที่จะเดินไปในเส้นทางที่สมบูรณ์แบบ

และครอบครัวนี้ คงเป็นครอบครัวที่น่ารักสำหรับคนทั่วไปที่พบเห็น “ครอบครัวผิวเหลือง”


วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

อัษฎางค์ อัครสูรย์


ความภาคภูมิใจและความประทับใจ

ตั้งแต่เปิดโรงงานทำขาเทียมพระราชทานมาเป็นเวลา 4 ปีกว่า ผมได้ทำขาเทียมให้กับคนพิการขาขาดมาแล้วประมาณ 200 กว่าขา มีทั้งขาดระดับใต้เข่าและขาดเหนือเข่า ให้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ผมผ่านงานด้านอื่นๆ มาแทบทุกอย่างในโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ แต่ไม่เท่ากับการที่มาอยู่ทางด้านการบริการคนพิการขาขาดและพิการอย่างอื่น ซึ่งเขาเหล่านั้นอาจดำรงชีวิตอยู่อย่างลำบากหรือเป็นภาระของครอบครัว

การบริการทำขาเทียมมีอยู่หลายที่ในประเทศ ซึ่งทางมูลนิธิขาเทียม ในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เปิดศูนย์โรงงานทำขาเทียมไว้ทั่วประเทศ โรงพยาบาลผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ให้บริการทำจาเทียมพระราชทานแบบเดียวกัน บริการฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการดำเนินงานโรงงานทำขาเทียมก็ทำขาเทียมแบบเดียวกันโรงงานทำขาเทียมอื่นๆ ที่ทำด้วยหุ่นทราบของทางมูลนิธิขาเทียมได้คิดค้นขึ้นมาที่ใช้เป็นแบบอย่างในปัจจุบัน การทำขาเทียมเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดวางแผนขั้นตอนต่างๆ มากมายมีทั้งศาสตร์และศิลป์อยู่ในตัวและต้องฝึกฝนและรับข้อมูลใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนพิการให้มากที่สุด งานทำขาเทียมเป็นงานค่อนข้างเหนื่อย ท้อไม่ได้ เพราะวัสดุอุปกรณ์บางอย่างราคาค่อนข้างแพง อีกทั้งยังคอยประสานงานกับทางมูลนิธิขาเทียมอยู่ตลอดเวลาในการผลิตทั้งข้อมูลและเทคนิคพัฒนาต่างๆ ที่คิดค้นมาใหม่ๆ ให้เป็นปัจจุบันมากที่สุดรวมถึงการออกหน่วยทำขาเทียมพระราชทานตามสถานที่ต่างๆ

ในเรื่องการบริการก็จะมีบริการทำขาเทียมในโรงพยาบาลโดยมีแพทย์ กายภาพ และช่างทำขาเทียม กำกับตามแผนงานดำเนินการ อีกทั้งเข้าร่วมออกหน่วยทำขาเทียมกับมูลนิธิขาเทียมเป็นคณะ ก็จะมีอาจารย์แพทย์และคณะแพทย์ที่มีจิตาสาเข้าร่วมเป็นประจำรวมทั้งช่างกายอุปกรณ์ที่อยู่ตามโรงพยาบาลสถานที่ต่างๆ ในประเทศ ส่วนผมอยู่ในช่างทำขาเทียมประจำโรงพยาบาลที่เข้าร่วมกับทางมูลนิธิขาเทียม เอาเป็นว่าไปไหนไปด้วยกัน บรรยากาศในการออกหน่วยทุกท่านจะร่วมมือกันอย่างไม่ย่อท้อช่วยเหลือกันตลอด คนพิการที่ทำทำขาเทียมค่อนข้างเยอะทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลาตลอด เพื่อให้เสร็จทันกำหนดวันพระราชทานขาเทียม ผมเห็นทุกคนเหนื่อย ทำงานกันตลอดเวลาโดยไม่มีเวลาพักแต่ก็ผ่านอุปสรรคไปได้ทุกครั้ง อีกอย่างก็เป็นพระบารมีองค์สมเด็จย่าที่คอยย้ำเตือนอยู่เสมองานทุกอย่างเลยสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจเป็นที่สุด คือวันมอบขาเทียมพระราชทานไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานโรงพยาบาลหรือที่หน่วยทำขาเทียมพระราชทาน ผมแอบเห็นรอยยิ้มของคนพิการทุกๆ คน ที่รับขาเทียมพระราชทานและญาติมีความสุข และเสียงกล่าวขอบคุณมากตลอดเวลา


อัษฎางค์ อัครสูรย์
พนักงานทำขาเทียม
โรงงานทำขาเทียมพระราชทาน
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย

สุริยา เชื้อบุญมี





ความภาคภูมิใจและความประทับใจ

“ผมลองนั่งคิดดูเล่นๆ หากอยู่มาวันหนึ่งไม่แขนหรือขาผมหายไป ผมคงใจหายน่าดู แต่นั้นเป็นเพียงความคิดเล่นๆ ของผมเท่านั้น” แต่ใครจะรู้บ้างว่าความเป็นจริงมีอีกหลายร้อยหลายพันชีวิตที่กำลังอยู่กับความเป็นจริง ความพิการแขนขาขาดต้องถือว่าเป็นคนโชคร้ายที่มีมีอวัยวะสำคัญที่ช่วยในการดำรงชีวิต และการดำเนินชีวิตเป็นไปโดยราบรื่นเหมือนคนปกติ ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสภาพที่แขนขาดขาขาดแต่เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมคิดว่าถ้าเขามีขาชีวิตเขาคงจะดีกว่านี้ สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะช่วยเติมเต็มชีวิตในกลุ่มคนเหล่านี้ได้คือ “การทำขาเทียมที่ดีใส่และสบายไม่เจ็ดปวด และเดินให้ใกล้เตียงเหมือนคนปกติให้กับกลุ่มคนพิการขาดขาดได้ดำเนินชีวิตที่ดี ช่วยเหลือตนเองไม่เป็นที่พึ่งของญาติพี่น้องและสามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้ และประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นแทนที่จะปล่อยให้เขาเป็นปัญหาของสังคมต่อไป”
ผมภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกับมูลนิธิขาเทียมฯ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายที่สอนให้ผมรู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความเสียสละ ทำให้ผู้พิการขาขาดกับมายิ้ม หัวเราะ ร่าเริง และใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป เท่านี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ


สุริยา เชื้อบุญมี
พนักงานทำขาเทียม
โรงงานทำขาเทียมพระราชทาน
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย

ขาเทียม...ที่ด่านซ้าย


ขาเทียม... ด่านซ้าย

โดย นพ.ภักดี สืบนุการณ์

หลายคนอาจจะแปลกว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จังหวัดเลย “ทำขาเทียมให้ผู้ป่วยขาขาดด้วยหรือ”  คำตอบก็คือ ทำได้จริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ มากกว่า 200 ขาแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีด้านองค์ความรู้และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องจาก รศ.นพ.เทอดชัย ชีวะเกตุ มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

เริ่มต้นโครงการขาเทียม

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมูลนิธิขาเทียมฯ ด้วยวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ คือ
  1. ทำขาเทียมให้ผู้พิการขาขาดที่ยากไร้ ด้อยโอกาส ด้วยวัสดุภายในประเทศ
  2. ทำขาเทียมให้โดยไม่เลือกเชื้อชาติและศาสนา
  3. ให้ผู้พิการขาขาดมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีอาชีพ



ช่วงแรกอาจารย์เทอดชัยและมูลนิธิขาเทียมฯ ทำงานในพื้นที่ที่มีคนขาขาดมาก บริเวณชายแดนที่มีกับระเบิด แถบจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ สระแก้ว รวมถึงการออกหน่วยทำขาเทียมเคลื่อนที่ทั่วประเทศ หลังจากการทำงานพื้นที่ชายแดนผ่านไปได้ระยะหนึ่งอาจารย์เทอดชัยมองหา “ต้นกล้า” ที่อยู่ตามโรงพยาบาลชุมชนเพื่อถ่ายทอดความรู้การทำขาเทียมให้กระจายตามพื้นที่ต่างๆ 40 แห่งทั่วประเทศ
โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย คือ 1 ใน 5 โรงพยาบาลชุมชนรุ่นแรกที่ส่งเจ้าหน้าที่ไปเรียนรู้การทำขาเทียมกับอาจารย์เทอดชัยที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยการรับสมัครเจ้าหน้าที่ 2คนที่จะเข้าอบรมเพื่อเรียนรู้การทำขาเทียม นั่นคือคุณอัษฎางค์ อัครสูรย์ และ คุณสุริยา เชื้อบุญมี

สิ่งที่เจ้าหน้าที่ 2 คนของด่านซ้ายได้รับจากอาจารย์เทอดชัยนั้นคือความรู้ที่อาจารย์เรียนรู้และสังเคราะห์มาทั้งชีวิต เป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ง่าย ชัดเจนและยั่งยืน โดยใช้วัสดุในท้องถิ่นทั้งหมด เป็นเทคโนโลยีที่น่าภาคภูมิใจ ประหยัดได้ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 จากวิธีการทำขาเทียมแบบดั้งเดิม ต้นทุนราคาอันละ 1 พันกว่าบาทเท่านั้น


ขาเทียมด่านซ้าย ทำตอนเช้า ได้เที่ยง
วิธีการทำขาเทียมในประเทศไทยที่ผ่านมาเป็นการทำวิธีเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว และมีข้อจำกัดที่น้ำหนักมาก ไม่กระชับ ใส่แล้วเจ็บ ทำให้ผู้ป่วยต้องไปโรงพยาบาล 4-5ครั้ง ตั้งแต่การไปวัดขนาด รอคิว หล่อขา แต่งขา ไปรับขา และไปปรับแต่งขาให้เข้าที่เข้าทาง  ลองคิดดูถ้าชาวบ้านจากอำเภอด่านซ้ายต้องนั่งรถเข้าไปตัวจังหวัดเพื่อใส่ขาเทียมจำนวน 5 ครั้ง จะไปหรือไม่ทั้งๆ ที่ขาขาด เพราะลำพังคนปกติก็เหนื่อยแย่แล้ว  การไปโรงพยาบาลหลายครั้งทั้งๆ ที่ขาขาดทำให้คนที่ใส่ขาเทียมแบบเก่าทนเจ็บจากการใส่ขาเทียม ผลก็คือเอวจะเสีย สุขภาพจิตก็แย่ ช่วยเหลืองานบ้านก็ไม่ได้ ปัญหาคุณภาพชีวิตและครอบครัวก็จะตามมาอีก ดังนั้น กระบวนการทำเขาเทียมคือหัวใจสำคัญ  เริ่มทำตอนเช้าได้เที่ยง(ไม่รวมการแต่งให้สวยงาม)



ช่วงแรกของการทำเขาเทียมที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้ายนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ด่านซ้าย”ทำขาเทียมได้ ที่สำคัญคือชาวบ้านจะได้ขา และก็ได้จริงๆ ถึงวันนี้ทำไปแล้วมากกว่า 200ขา ทำให้สามารถแบ่งเบาภาระการทำขาเทียมของโรงพยาบาลจังหวัดเลยได้ระดับหนึ่งทีเดียว


จิตอาสา “ทำขาเทียม”
สิ่งมหัศจรรย์ที่ตามมาจากโครงการขาเทียมก็คือ เจ้าหน้าที่ 2คนที่ทำขาเทียมสามารถนำวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อาจารย์เทอดชัยส่งมาให้ไปประยุกต์ทำอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุแต่ขาไม่ขาดอีกหลายชนิด เช่น รองเท้าผู้ป่วยเบาหวาน แผ่นรองเท้าสำหรับผู้ป่วยข้อเท้าตก เฝือกอ่อนแก้ข้อเท้าผิดรูปในเด็ก อุปกรณ์เสริมช่วยผู้ป่วยอัมพาต




นอกจากนี้ เมื่ออาจารย์เทอดชัยมีออกหน่วยจิตอาสาจะนำเจ้าหน้าที่ 2 คนของด่านซ้ายไปด้วยซึ่งมีข้อดีคือเจ้าหน้าที่ได้ไปฟื้นฟูความรู้กับอาจารย์และเพิ่มประสบการณ์ทำขาเทียมตามภูมิภาคต่างๆ รวมถึงไปต่างประเทศ 4ครั้งคือ แขวงจำปาสักประเทศลาว รัฐซาราวัค เกาะบอร์เนียว และเมือง ปีนังประเทศมาเลเซีย และล่าสุดไปกวางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน
การเรียนรู้อย่างเข้าใจ ทำด้วยใจ และตั้งใจลงมือทำ คือความสำเร็จขาเทียม... ด่านซ้าย

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ครอบครับตัวอย่าง (ครอบครัว เนาวรัตน์ พรหมรักษา)




ผู้หญิงที่เดินมาพร้อมกับโชคชะตาที่ไม่ได้ลิขิต


เนาวรัตน์ พรหมรักษา หรือ ตุ้มเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ เพราะ “ป้าแต๋ว” แม่ของตุ้ม ที่เป็นพนักงานของโรงพยาบาลเสียชีวิตภาระทุกอย่างจึงตกอยู่ที่ตุ้มและอีกอย่างหนึ่งคือ ป้าแต๋ว แม่ของตุ้มเป็นคนดีมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน แต่ต้องมาเสียชีวิตลงเมื่ออายุยังน้อย
จำได้ว่าเมื่อมาทำงานปีแรกๆ ป้าแต๋ว มีภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจากโรคเดิมที่เป็นคือ เบาหวาน ต้องปั๊มหัวใจกันที่ วอร์ด ๑ ในขณะที่ป้าแต๋วทำงาน แต่ก็สุดความสามารถที่จะเยียวยาและช่วยชีวิตไว้ได้ในศักยภาพของรพร.ด่านซ้ายในสมัยนั้นเมื่อ ๒๘ ปีก่อน ตุ้มไม่มีพ่อและแม่ แต่มีน้องๆที่ต้องดูแลอีกหลายคนนี่คือภาระอันใหญ่หลวงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตุ้มและน้องๆเติบโตมาท่ามกลางการอนุเคราะห์ดูแลของน้าและญาติพี่น้องที่ช่วยกันดูแลมาตามอัตภาพเท่าที่จะทำได้ น้องๆเริ่มโตบางคนมีงานทำ และบ้างก็มีครอบครัวไป ตุ้มก็ได้มีเวลาหันมาดูแลครอบครัวตัวเองมากขึ้น
ตุ้มมี ก้อง เป็นผู้มาเติมเต็มในชีวิตที่ขาดผู้นำของครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็ก ตุ้มและก้องมีโซ่ทองคล้องใจ ๑ คนคือน้อง ไนซ์ เด็กหญิง กัญญาพัชร พรหมรักษา น้องไนซ์เป็นตัวแทนของพ่อและแม่เพราะมีหน้าตาที่ถอดเค้ามาจากทั้งพ่อและแม่มีใบหน้าคมเข้ม สุขุม เกินวัยเด็ก คำว่า ลูก ทำให้ ก้อง ต้องเปลี่ยนไป มุมานะทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงินมาช่วยกันดูแลครอบครัว ลด ละ เลิก สิ่งไม่จำเป็นในชีวิตออกไป ก้องรับจ้างทำงานได้หลากหลายอาชีพเท่าที่จะมีผู้มาว่าจ้างเช่น ช่างไฟ ช่างปูน ช่างไม้ หรือทำนาข้าวของตนเองไว้กิน เป็นการทำนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงจริงๆ เพราะตุ้มเองก็ไปดำนาในวันหยุดหรือวันที่ขึ้นเวรบ่ายหรือดึก ตามความเหมาะสม

ตุ้มทำงานในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย ในตำแหน่ง พนักงานผู้ช่วยเหลือคนไข้ ได้ทุกหน้างาน ไม่ว่าจะเป็น หอผู้ป่วยใน ห้องคลอด ห้องผ่าตัด หรืองานอุบัติเหตุฉุกเฉิน ตุ้มเป็นผู้ มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานทุกระดับ สามารถเป็นครู ให้กับผู้ช่วยเหลือคนไข้น้องใหม่ เป็นพี่เลี้ยงให้กับพยาบาลจบใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะหยิบจับอะไรก่อนเมื่อเวลาตื่นเต้นมากๆ ตุ้ม เล่นกีฬาไม่เก่งแต่อาสามาเป็นแม่ครัวให้ในงานกีฬายุพราชประจำปี แถมมีฝีมือปลายจวัก ตำแจ่วดำใส่ขิง อร่อยๆมาให้กิน จนติดใจกันเป็นแถวๆ ครอบครัวของตุ้มดำเนินชีวิตมาแบบพอเพียง เลี้ยงดูลูกอันเป็นเสมือนแก้วตาดวงใจด้วยความอุตสาหะ จึงประคับประคองชีวิตมาได้ด้วยดี จนกระทั่งวันแม่แห่งชาติประจำปี ๒๕๕๔ ตุ้ม ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นแม่ตัวอย่างของโรงเรียนด่านซ้าย ซึ่งก็คงจะเป็น ยาหอมให้กับครอบครัว พรหมรักษาได้เป็นอย่างดี และเช่นกัน ในปี ๒๕๕๔ นี้คณะกรรมการพัฒนาบุคลากรของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย มีมติเป็นเอกฉันคัดเลือกตุ้มให้เป็นครอบครัวตัวอย่างใน กลุ่มลูกจ้าง นับเป็นรางวัลชีวิตแห่งปี และด้วยอานิสงส์แห่งความดีที่ได้เพียรพยายามมาคงจะช่วยให้เธอได้หล่อเลี้ยงครอบครัวที่อบอุ่นของเธอตลอดไป

เปรมศรี สาระทัศนานันท์ เรียบเรียง

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ก้าวย่างแห่งความหวัง


ชีวิตของคนแต่ละคน อาจจะมีความหวังหลายๆอย่างในชีวิต บางคนเลือกที่จะมีความสุขกับครอบครัวในบั้นปลายชีวิต บางคนเลือกที่จะรวยล้นฟ้า บางคนเลือกที่จะใช้ชีวิตที่สงบสุข บางคนเลือกที่จะมีรถสักคันบ้านสักหลัง แต่ลุงประจักษ์ความหวังของเขาคือการเดิน
ลุงประจักษ์ ผู้ป่วยอายุ ๖o ปี อยู่ที่บ้านนาเบี้ย ต.นาหอ อ.ด่านซ้าย จ.เลย ภรรยา ลูกสาว 2 คน และหลานสาวอีก 1 คน อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ลุงประจักษ์เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัว ประกอบอาชีพทำไร่ ทำสวน ในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ลุงประจักษ์มอบภาระการดูแลเลี้ยงดูลูกให้แก่ภรรยาของแกเท่านั้น ส่วนเรื่องการทำมาหากินลุงรับผิดชอบเอง
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ลุงประจักษ์ต้องหันเหมาเป็นช่างไม้เนื่องจากอาชีพทำไร่ไม่พอกับการที่จะต้องเลี้ยงครอบครัว โดยตระเวนรับจ้างไปเรื่อย จนลูกเรียนจบปริญญาตรี และกลับมาอยู่ที่ด่านซ้ายอีกครั้งในปี ๒๕๔๗ โดยหันมาทำไร่ข้าวโพดพร้อมกับได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในละแวกนั้นให้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ลุงประจักษ์ทำงานที่ได้รับมอบหมายและช่าวเหลือพี่น้องที่ได้รับปัญหาต่างๆจนเป็นที่รักของชาวบ้านในชุมชนเดียวกัน
และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ขณะที่ลุงประจักษ์และเพื่อนบ้านขึ้นต้นผักสะทอนเพื่อนำไปประกอบอาหาร ความสูงของต้นสะทอน 5 เมตร ลุงประจักษ์ก้าวไปเหยียบกิ่งที่ผุ โดยส่วนหลังไปกระแทกกับกิ่งไม้ก่อนจะถึงพื้นดิน มารู้สึกตัวอีกทีหน้าก็คว่ำลงกับพื้นแล้ว ลุงประจักษ์มีสติอยู่ตลอดจนสัมผัสได้ว่าตั้งแต่เอวลงไปจนถึงขาไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์และครอบครัวต่างช่วยกันพาลุงประจักษ์ส่งมาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย โดยใช้ไม้กระดานยึดตัวลุงไว้เพราะเข้าใจว่าหลังและขาหัก ทางโรงพยาบาล X-RAY พบว่ากระดูกสันหลังระดับอก มีการแตก จึงนำส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลเลย
ลุงประจักษ์ได้รับการผ่าตัดในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ หลังจากหมดฤทธิ์ยาสลบ ลุงประจักษ์ตื่นขึ้นมาพบว่า กล้ามเนื้อแขนขาทั้งสองข้างไม่มีความรู้สึก ลุงประจักษ์ทำกายภาพอยู่ที่โรงพยาบาลเลยอยู่พักใหญ่โดยที่มีเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว ผลัดเปลี่ยนกันมาให้กำลังใจ จากที่เคยคิดว่าตัวเองต้องเป็นภาระให้ครอบครัว กลัวว่าจะกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ กลับมีความหวังขึ้นมาโดยที่ไม่ได้แสดงถึงความเจ็บปวดใดๆให้ใครเห็นเลย ทั้งทั้งที่ใจยังคงกังวลอยู่
ลุงประจักษ์กลับมาอยู่ที่บ้านหลังจากทำการรักษาที่โรงพยาบาลเลย เกือบสองเดือน โดยนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียวไม่ได้ขยับไปไหนและมีความกังวลกับแผลผ่าตัดที่ยังไม่หายสนิทดี ทีมเยี่ยมบ้านโรงพยาบาลด่านซ้ายแนะนำให้ลุงประจักษ์ไปรับการรักษาต่อที่แผนกกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล
วันแรกของการมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ลุงประจักษ์ได้เรียนรู้การเคลื่อนย้ายตัวเองบนที่นอน และการใช้กล้ามเนื้อพลิกตะแคงตัว ลุงประจักษ์เริ่มมีกำลังใจที่จะทำกิจกรรมอื่นๆต่อไป และรับการรักษาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ปัจจุบัน ลุงประจักษ์สามารถเคลื่อนย้ายและลุกนั่งได้บนเตียงและยังสามารถช่วยตัวเองไปที่รถเข็นนั่งได้อีกในระดับหนึ่ง ทั้งยังอาบน้ำโดยที่ไม่ต้องให้ลูกหลานหรือภรรยาดูแลเหมือนเมื่อก่อน ลุงประจักษ์ยังมีความหวังว่าจะกลับมาเดินได้เหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่คุณหมอบอกว่า นั่งรถเข็นได้นี่แหละสามารถแล้ว
ลุงประจักษ์และยังหวังที่จะกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้โดยมีกำลังใจจากครอบครัว เพื่อนบ้านที่มาคอยให้กำลังใจและรอยยิ้มนี่เองที่ทำให้ลุงประจักษ์กลับมาลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง
ความจริงและความหวังอาจจะจะแตกต่างกันมากก็ตาม แต่ถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิต ถึงแม้สภาพความเป็นจริงจะต่างกันเพียงใด หากมีความพยายาม ความหวัง และกำลังใจสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้อาจจะอยู่ไม่ไกลเลย

นางสาว ทิชากร บรรจถรณ์

นักศึกษากายภาพบำบัด ชั้นปีที่ ๔

มหาวิทยาลัยขอนแก่น